ตลาดเสรีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา มีทั้งธุรกิจที่เปิดใหม่ ปิดตัวลง ขยายตัว หรือหดตัว เทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้เกิดการพัฒนาการทำงานทุกด้านให้ดีขึ้น อัตราการเปลี่ยนงานในตลาดแรงงานสูงมาก โดยในแต่ละปีมีตำแหน่งงานที่ถูกปิดลงไปนับล้านตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีตำแหน่งงานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพิ่มขึ้นนับล้านตำแหน่งเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมรถไฟ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อุตสาหกรรมนี้มีการจ้างงานสูงที่สุดในสหรัฐฯ โดยมีการจ้างแรงงานมากกว่า 1.4 ล้านคน แต่ปัจจุบันการจ้างงานในอุตสาหกรรมรถไฟของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 170,000 คนเท่านั้น หรือในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 มีการจ้างงานพนักงานเชื่อมต่อคู่สายโทรศัพท์ถึง 350,000 คน ซึ่งต่อมาหน้าที่นี้ก็หายไปเพราะมีการนำอุปกรณ์เชื่อมต่อคู่สายอัตโนมัติมาใช้ เช่นเดียวกับตำแหน่งเสมียนพิมพ์ดีด ในขณะเดียวกัน ทั้งจำนวนตำแหน่งงานและค่าแรงต่างก็เพิ่มขึ้น
แต่ด้วยเหตุผลทางด้านอารมณ์ความรู้สึก เมื่อบริษัทต่างๆ พากันปิดกิจการหรือลดขนาดองค์กรในสหรัฐฯ ลง เพื่อไปเปิดกิจการในต่างประเทศ ก็สามารถก่อกระแสและส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรงได้ หากดูจากอุตสาหกรรมสิ่งทอของสหรัฐฯ ซึ่งเคยจ้างแรงงานนับเป็นแสนคนในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่าน New England แต่ต่อมาก็มีการย้ายการผลิตไปยังรัฐทางใต้ ซึ่งทำให้แรงงานของโรงงานในพื้นที่ที่ถูกปิดไปต้องประสบภาวะยากลำบาก แต่ก็ไม่ได้มีการเรียกร้องให้ลงโทษบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตไป เพราะยังเป็นการย้ายฐานแค่ภายในสหรัฐฯ